วันพฤหัสบดีที่ 25 มิถุนายน พ.ศ. 2558

โปรแกรมภาษาคอมพิวเตอร์

java_logo

            
         















เรามารู้จักกับประวัติภาษา JAVAกันเถอะ

   Java คือภาษาโปรแกรมเชิงวัตถุที่พัฒนาโดย เจมส์ กอสลิงร่วมกับวิศวกรคนอื่นๆ ที่บริษัทซัน ไมโครซิสเต็มส์ มีจุดประสงค์เพื่อใช้แทนภาษาซีพลัสพลัส C++ โดยรูปแบบที่เพิ่มเติมขึ้นนั้นจะคล้ายกับภาษาอ็อบเจกต์ทีฟซี (Objective-C) จุดเด่นของภาษา Java จะอยู่ที่ผู้เขียนโปรแกรมสามารถใช้หลักการของ Object-Oriented Programming มาพัฒนาโปรแกรมของตนด้วย Java ได้ จาวาถูกพัฒนาขึ้นโดยทีมวิจัยของ บริษัท ซันไมโครซิสเต็ม (Sun Microsystems)พัฒนามาจากโครงการที่ต้องการพัฒนาระบบซอฟต์แวร์เพื่อควบคุมเครื่องใช้ไฟฟ้าขนาดเล็กภายในบ้าน ภาษาจาวาเริ่มเป็นที่นิยมแพร่หลายในปี ค.ศ. 1995 ภาษาจาวาเป็นภาษาที่ไม่ขึ้นกับแพลตฟอร์ม (platform independent)JDK 1.0 ประกาศใช้เมื่อปี1996JDK เวอร์ชันปัจจุบันคือ Java 2
วิวัฒนาการของภาษาจาวาจากรุ่นแรกถึงจาวา1.5
1.  (ค.ศ. 1996) — ออกครั้งแรกสุด
2.  (ค.ศ. 1997) — ปรับปรุงครั้งใหญ่ โดยเพิ่ม Inner Class
3.  (4 ธันวาคม ค.ศ. 1998) — รหัส Playground ด้านจาวาแพลตฟอร์มได้รับการเปลี่ยนแปลงครั้งใหญ่ใน API และ JVM (API สำคัญที่เพิ่มมาคือ Java Collections Framework และ Swing; ส่วนใน JVM เพิ่ม JIT Compiler) แต่ตัวภาษาจาวานั้น เปลี่ยนแปลงเพียงเล็กน้อย (เพิ่มคีย์เวิร์ด strictfp) และทั้งหมดถูกเรียกชื่อใหม่ว่า “จาวา 2″ แต่ระบบเลขรุ่นยังไม่เปลี่ยนแปลง
4.  (8 พฤษภาคม ค.ศ. 2000) — รหัส Kestrel แก้ไขเล็กน้อย
5.  (13 กุมภาพันธ์ ค.ศ. 2002) — รหัส Merlin เป็นรุ่นที่ถูกใช้งานมากที่สุดในปัจจุบัน (ขณะที่เขียน ค.ศ. 2005)
6.  (29 กันยายน ค.ศ. 2004) — รหัส Tiger (เดิมทีนับเป็น 1.5) เพิ่มคุณสมบัติใหม่ในภาษาจาวา เช่น Annotations ซึ่งเป็นที่ถกเถียงกันว่านำมาจากภาษาซีชาร์ป ของบริษัทไมโครซอฟท์, Enumerations, Varargs, Enhanced for loop, Autoboxing, และที่สำคัญคือ Generics


ความหมายของภาษาจาวา
ภาษาจาวา (Java Language) คือ ภาษาคอมพิวเตอร์ที่ถูกพัฒนาขึ้นโดยบริษัท ซันไมโครซิสเต็มส์ เป็นภาษาสำหรับเขียนโปรแกรมที่สนับสนุนการเขียนโปรแกรมเชิงวัตถุ (OOP : Object-Oriented Programming) โปรแกรมที่เขียนขึ้นถูกสร้างภายในคลาส ดังนั้นคลาสคือที่เก็บเมทอด (Method) หรือพฤติกรรม (Behavior) ซึ่งมีสถานะ (State) และรูปพรรณ (Identity) ประจำพฤติกรรม (Behavior)
การโปรแกรมเชิงวัตถุ (OOP = Object-Oriented Programming)
การเขียนโปรแกรมที่ประกอบด้วยกลุ่มของวัตถุ(Objects) แต่ละวัตถุจะจัดเป็นกลุ่มในรูปของคลาส ซึ่งแต่ละคลาสอาจมีคุณสมบัติ การปกป้อง (Encapsulation) การสืบทอด (Inheritance) การพ้องรูป (Polymorphism)
แนวคิดของการโปรแกรมเชิงวัตถุ (OOP Concepts)
1. การปกป้อง (Encapsulation)
– การรวมกลุ่มของข้อมูล และกลุ่มของโปรแกรม เพื่อการปกป้อง และเลือกตอบสนอง
2. การสืบทอด (Inheritance)
– ยอมให้นำไปใช้ หรือเขียนขึ้นมาทดแทนของเดิม
3. การพ้องรูป (Polymorphism) = Many Shapes
– Overloading มีชื่อโปรแกรมเดียวกัน แต่รายการตัวแปร (Parameter List) ต่างกัน
– Overriding มีชื่อโปรแกรม และตัวแปรเหมือนกัน เพื่อเขียน behavior ขึ้นมาใหม่

จุดเด่นของภาษาจาวา
–  ความง่าย (simple)
–  ภาษาเชิงออปเจ็ค (object oriented)
–  การกระจาย (distributed)
–  การป้องกันการผิดพลาด (robust)
–  ความปลอดภัย (secure)
–  สถาปัตยกรรมกลาง (architecture neutral)
–  เคลื่อนย้ายง่าย (portable)
–  อินเตอร์พ์พรีต (interpreted)
–  ประสิทธิภาพสูง (high performance)
–  มัลติเธรด (multithreaded)
–  พลวัต (dynamic)

ภาษาจาวามีข้อดีอย่างไร?
 ภาษาจาวาสามารถ ทำงานได้กับทุกระบบปฏิบัติการ โดยอาศัยตัวกลาง
n    ทำงานบนเว็บเบราเซอร์ได้
n    ความปลอดภัยสูง
n    สนับสนุนงานหลายระดับ
n    สามารถทำงานบนเครื่องคอมพิวเตอร์ต่างระบบได้
n    ภาษาจาวาเป็นภาษาเชิงวัตถุ
n    ความทันสมัย
n    ความเรียบง่าย
n    กลไกในการคืนพื้นที่ในหน่วยความจำอัตโนมัติ (garbage collection)
n    มีคลาสและอินเตอร์เฟซให้ใช้เยอะมาก
n    794 interfaces
n    2485 classes
n    ฟรี
 ภาษาจาวามีข้อเสียอย่างไร?
 ข้อเสียของภาษาจาวา คือช้า ดังนั้น ท่านจะสังเกตเห็นการใช้ภาษา java เป็น ภาษาที่นิยมกันอย่างแพร่หลายในการเขียนเว็บ มันอาจจะยากสำหรับใคร แต่มันคงไม่ยากเกินความตั้งใจของทุก ๆ คน

วันพฤหัสบดีที่ 18 มิถุนายน พ.ศ. 2558

social network กับนักเรียนและสังคมไทย


          

Social Network คืออะไร

          โซเชียลเน็ตเวิร์ค หรือ Social Network คือเครือข่ายสังคมออนไลน์ ที่ใช้งานบนเครือข่ายอินเทอร์เน็ต เป็นสังคมที่มีผู้ใช้เป็นจำนวนมาก ไม่ว่าจะเป็นเด็ก วัยรุ่น จนถึงคนวัยชรา  การเชื่อมโยงให้คนในแต่ละวัยได้รู้จักติดต่อสื่อสารกันทำให้เกิดเป็นเหมือนสังคมจริงๆ ทุกคนสามารถแชร์ข้อมูลที่ตนเองต้องการได้ ทั้งยังสามารถให้คนที่ผ่านเข้ามาเห็นนั้นได้มีส่วนร่วมในการแสดงความคิดเห็น และโซเชียลมิเดียยังสามารถใช้ในการประกอบธุรกิจจึงทำให้มีผู้ ที่สนในการประกอบธุรกิจต่างๆหันมาสนใจกับการทำธุรกิจบนโซเชียลมิเดียเพิ่มขึ้นเป็นจำนวนมาก ทั้งใน facebook twitterและใน instargram เป็นต้น


พฤติกรรมการใช้งานโซเชียลเน็ตเวิร์ค (Social Network) ของสังคมไทย

      พฤติกรรมของผู้ใช้งานอินเตอร์เน็ต ปรับเปลี่ยนจากการรับข่าวสารจาก Portral Site มาเป็นโซเชียลเน็ตเวิร์ค (Social Network) เว็บไซต์ เริ่มเด่นชัดตั้งแต่ช่วงปี 2007 หรือ พ.ศ. 2550 เป็นต้นมา และมีแนวโน้มเพิ่มขึ้นเรื่อยๆ มีผลการศึกษาพบว่าประมาณ 1 ใน 3 ของผู้ใช้งานโซเชียลเน็ตเวิร์ค (Social Network) ใช้เพื่ออัพเดตข้อมูลข่าวสาร และอีก 1 ใน 3 เพื่อคุยกับเพื่อนและคนรู้จัก นั่นสะท้อนให้เห็นเป็นอย่างดีว่าผู้ใช้งานอินเตอร์เน็ต ติดตามข่าวสารจากโซเชียลเน็ตเวิร์ค (Social Network) มากขึ้น
         สถิติจากทรูฮิต (True Hit) ซึ่งเป็นเว็บไซต์จัดอันดับความนิยมของเว็บไซต์ในประเทศไทย เมื่อปี 2554  พบว่าหมวดเว็บไซต์ยอดนิยมอันดับ 1 คือหมวดบันเทิง ตามมาด้วยเกม และเว็บบอร์ด บล็อก ไดอารี่ ทั้ง 3 หมวดนี้รวมกันคิดเป็น 61% ของทั้งหมด ส่วนอันดับถัดมาคือ ข่าว ช็อปปิ้ง กีฬา และธุรกิจ  ข้อสังเกตคือ เว็บไซต์ที่มีการใช้บริการมาก ส่วนมากเป็นเว็บไซต์ด้านความบันเทิง และเรื่องทั่วๆ ไป มากกว่าเรื่องที่เฉพาะเจาะจง  เฉพาะเว็บบันเทิงมีการใช้งานถึง 37.5% จากจำนวนการใช้งานทั้งหมด  ในขณะที่เว็บไซต์ที่ได้รับความนิยมต่ำสุด 4 อันดับแรก คือเว็บกลุ่มสุขภาพ 0.25%, เว็บอสังหาริมทรัพย์ 0.72%, และเว็บหน่วยงานราชการ 1.08%
อันดับเว็บที่เน้นเรื่องบันเทิงเป็นหลัก


  • facebook.com
  • google.co.th
  • google.com
  • youtube.com
  • live.com
  • blogspot.com
  • yahoo.com
  • sanook.com
  • pantip.com
  • Wikipedia





  • การใช้โซเชียลมีเดียในกลุ่มวัยรุ่น

           ปัจจุบันคนส่วนใหญ่มักมองว่า กลุ่มวัยรุ่นเป็นกลุ่มที่มีพฤติกรรมการเสพติดและใช้งานโซเชียลมีเดียสูงสุด     โซเชียลมีเดียที่ได้รับความนิยมในกลุ่มวัยรุ่นประกอบด้วย Facebook และ Twitter โดยโซเชียลมีเดียทั้ง 2 รูปแบบนี้มีความแตกต่างอย่างชัดเจนถึงจำนวนผู้ใช้งานระหว่างกลุ่มผู้ใหญ่และวัยรุ่น โดย Facebook มีสัดส่วนการใช้งานในกลุ่มวัยรุ่นสูงถึง 94% ในขณะที่กลุ่มผู้ใหญ่มีสัดส่วนเพียง 67% เท่านั้น ส่วน Twitter ก็เช่นเดียวกัน ในกลุ่มวัยรุ่นมีการใช้งานอยู่ที่ 26% ต่อกลุ่มผู้ใหญ่ที่มีจำนวนเพียง 18%






    ข้อดี
          
           1. ทำให้การศึกษากว้างขวางมากขึ้น
          
           2. ทำให้รับรู้ข้อมูลข่าวสารได้รวดเร็วมากขึ้นไม่ว่าจะเป็นข่าวสังคมจนถึงคนรอบ
          
           3. ก่อให้เกิดมิตรภาพระหว่างผู้ใช้งาน
          
           4. การใช้งานโซเซียลเน็ตเวิร์คทำให้ทุกคนได้มีโอกาสแสดงความคิดเห็น ไม่ทำให้เหงาหรือรู้สึกโดดเดียว
          
           5. สามารถสร้างกำลังใจที่ดีแก่ผู้อื่นได้
          

           ข้อเสีย
          
           1. ทำให้เกิดการลักลอบใช้ข้อมูลหรือโจรกรรมข้อมูลจนถึงขั้นการก่อเกิดเป็นขบวนการมิจฉาชีพ
          
           2. ทำให้เด็กที่ติดโซเชียลมิเดียเสียผลการเรียน
          
           3. เกิดความผูกพันธ์ระหว่างคนในโลกโซเชียล มากกว่าในโลกแห่งความเป็นจริง เกิดเป็นอีกสังคมเรียกว่า สังคมก้มหน้า
          


    ประโยชน์ของ Social Network


               โซเชียลเน็ตเวิร์คทำให้การติดต่อสื่อสารเป็นไปอย่างกว้างขวาง 
    แล้วยังสามารถทำให้คนที่รักในสิ่งที่เหมือนกันมาพูดคุยแลกเปลี่ยนสิ่งที่ตนชอบให้กันและกัน  ทำให้คนที่มีปัญหาขัดแย่งกันหันมาเข้าใจกันมากขึ้น และด้วยความที่ใช้งานได้สะดวกและรวดเร็วทำให้การทำธุรกิจหรือการประกอบธุรกิจผ่านโซเชียลมิเดียนั้้นเติบโตอย่ารวดเร็วและกว้างขวางเป็นอย่างมาก แล้วเราสามารถเข้าถึงมันได้อย่าสะดวก ง่ายมากขึ้น




    ที่มา

    วันพฤหัสบดีที่ 11 มิถุนายน พ.ศ. 2558

    Essential Architects that You Must Know !


                นอกจากสิ่งที่ธรรมชาติให้มาบนโลกใบนี้แล้ว อารยธรรมของมนุษย์โลกก็นำพาให้โลกทั้งใบเติมแต่งไปด้วยสิ่งที่มนุษย์สรรสร้างกันเต็มไปหมด ไม่ว่าจะเป็นสิ่งของ เครื่องใช้ เทคโนโลยีต่างๆนาๆ ที่ยุคต่างๆก็จะมีความเป็นเอกลักษณ์และการใช้งานที่ไม่เหมือนกัน แต่สิ่งหนึ่งที่ขีดจำกัดของมนุษย์ได้แสดงออกมาให้เห็นชัดเจนมากที่สุดก็คือ “สถาปัตยกรรม” การก่อสร้างอาคารบ้านเรือนต่างๆที่ช่วยเตือนสติเราได้อย่างมากว่าเราห่างไกลจากการอยู่ถ้ำมาไกลแค่ไหนแล้ว วันนี้เรามีคอลัมน์สถาปนิก 101 มาฝากกัน กับการแนะนำรายชื่อสถาปนิกชื่อดัง ระดับอาจารย์ของโลก ภายในศตวรรษที่ 20-21 พร้อมผลงานของพวกเขาให้เห็นภาพกันมากขึ้น เราไปดูคนแรกกันเลยดีกว่า





     Frank Lloyd Wright




    Fallingwater (1935) ผลงานชิ้นดังของ Frank Lloyd Wright ที่ทุกวันนี้เปิดให้เข้าชมเป็นสถานที่ท่องเที่ยวในรัฐ Pennslyvania ประเทศสหรัฐอเมริกา

    การตกแต่งภายในของ Fallingwater

    พิพิธภัณฑ์ Guggenheim Museum, New York ประเทศสหรัฐอเมริกา

               หากถามถึงสถาปนิกระดับตำนาน ชื่อแรกๆที่ทุกคนนึกถึงก็คงต้องเป็น Frank Lloyd Wright สถาปนิกชาวอเมริกัน ที่ถูกกล่าวขานว่าเป็น “The Greatest American Architect of All Time” ลูกศิษย์เอกของ Louis Sullivan ผู้เป็นเหมือนบิดาของสถาปัตยกรรมโลกยุคใหม่ เจ้าของคติการออกแบบ Form Follows Function ซึ่งมันปรากฎให้เห็นในงานของแฟรงค์ชัดเจน งานส่วนใหญ่ของแฟรงค์คือการออกแบบบ้านเรือน ที่กล่าวได้ว่ามีความเป็น Original และเกิดขึ้นแบบธรรมชาติ ดูแล้วไม่มีการพยายามปรุงแต่งใดๆทั้งสิ้น ชิ้นดังคือ Fallingwater (1935) หรือ Kaufmann Residence บ้านที่ตั้งอยู่บนน้ำตกในรัฐ Pensylvania ที่ช่วยแสดงให้เห็นปรัชญาการออกแบบอันชัดเจนของเขาได้ดีเยี่ยม กล่าวคือทักษะการรวมเอาสิ่งปลูกสร้างของมนุษย์เป็นหนึ่งเดียวกับสิ่งที่เกิดขึ้นเองในธรรมชาติ ตามประวัติแล้วเขาได้ทำการออกแบบอาคารไปทั้งหมดกว่า 1,000 ชิ้น (ได้สร้างเสร็จจริงๆ 532 ชิ้น)




    Frank Gehry



    พิพิธภัณฑ์ Guggenheim Museum, Bilbao (1997) ประเทศสเปน

    อาคาร Walt Disney Concert Hall, Los Angeles (2003) ประเทศสหรัฐอเมริกา

             Gehry เป็นสถาปนิกแบบที่ผลงานของเขาลายเซ็นชัดเจน ดูแล้วชี้เป้าไม่ผิดคนแน่นอน กับงานสถาปัตยกรรมแบบ  Deconstructive เป็นที่ชื่นชอบของผู้คนที่ได้พบเห็น และนักท่องเที่ยวก็หลั่งไหลไปยลโฉมความงามกัน ถึงขนาดนิตยสาร Vanity Fair เคยกล่าวขานว่าเขาคือ “The Most Important Architect of Our Age” ไม่ใช่เพราะว่าฝีมือการออกแบบที่โดดเด่นเฉพาะตัวเท่านั้น กับการสร้างสเปซที่เล่นกับเรื่องฟอร์มและพื้นผิว รวมถึงวัสดุที่ใช้ในการก่อสร้าง เป็นงานที่ Original ไม่มีใครเหมือน อีกเหตุผลที่สำคัญคืออาคารที่สำคัญบนโลกในศตวรรษที่ผ่านมานี้ ก็เป็นผลงานของ Gehry มากมาย อย่างเช่นผลงานการออกแบบ Guggenheim Museum ใน Bilbao ก็เป็นงานที่สถาปนิกชื่อดังหลายคนในยุคนี้ ยกให้เป็นสุดยอดผลงาน Masterpiece ชิ้นหนึ่ง



    Louis Kahn




    อาคาร National Assembly Building ในเมืองหลวงธากา ประเทศบังกลาเทศ



              ปรมาจารย์ของสถาปนิกชื่อดังหลายคนในยุคนี้ Louis Kahn เป็นสถาปนิกชาวอเมริกันที่อาศัยอยู่ใน Philadelphia รัฐ Pennsylvania นอกจากการสร้างผลงานที่เป็นงานออกแบบระดับโลกแล้ว อีกหนึ่งหน้าที่ที่สำคัญของ Kahn คือการเป็นนักวิาจารณ์งานออกแบบและอาจารย์สอนอยู่ใน Yale School of Architecture ที่ที่คนอยากเป็นสถาปนิกทุกคนใฝ่ฝัน ความหลงใหลในประวัติศาสตร์และบรรดาซากปรักหักพังโบราณในโลกทุกวันนี้ มันเป็นส่วนผสมชั้นดีที่มาปรากฎให้เห็นอยู่ในงานของเขา คำที่บัญญัติได้ดีที่สุดก็คงจะเป็นความใหญ่ยักษ์และความเป็นเหมือนอนุเสาวรีย์ มีคาแรคเตอร์ชัดเจน และมีความแข็งแรง สัดส่วนเป๊ะไปหมด เขาไม่เคยรู้สึกเสียดายการใช้วัสดุในการสร้างผลงานของเขาใดๆทั้งสิ้น ผลงานที่เด่นชัดและเป็นที่พูดถึงก็คือ Jatiyo Sangsad Bhaban กล่าวว่าเป็นการออกแบบอาคารที่มีความซับซ้อนใหญ่ที่สุดงานหนึ่งในโลก เนื้อที่กว่า 200 เอเคอร์ (800,000 ตารางเมตร)


    Zaha Hadid


    Beko Building ในเมืองหลวง Belgrade ของประเทศเซอร์เบีย เป็นตัวอย่างการออกแบบที่มีเอกลักษณ์ของ Zaha Hadid

    อาคาร Heydar Aliyev Center ในประเทศอาเซอร์ไบจาน

          ในศตวรรษที่ 21 ปัจจุบันนี้ เธอคือ Big Name ในวงการสถาปัตย์ของโลกอย่างไม่ต้องสงสัย Zaha Hadid คือสถาปนิกผู้หญิงคนแรกที่ได้รางวัล Pritzker Architecture Prize (กล่าวคือนี่เป็นรางวัล Nobel Prize ในมุมของโลกสถาปัตยกรรม) เกิดในประเทศอิรัก ผลงานของเธอเป็นเส้นที่อยู่ตรงกลางระหว่างโลกงานออกแบบอาคารกับโลกศิลปะ ฟอร์มที่ดูแล้วมีคาแรคเตอร์กลิ่นอายโลกอนาคต และการใช้เส้นโค้งกลมสวยงาม จนใครก็ตามที่ได้เห็นมักจะอ้าปากค้างไปตามๆกันว่า เธอทำแบบนั้นได้อย่างไร? หลายครั้งที่คนมักจะสับสนว่าจะเรียกเธอว่าเป็นสถาปนิก หรือศิลปินที่เล่นกับการก่อสร้างอาคารดี เพราะพูดตรงๆว่าเธอทำได้ดีในทั้งสองโลกนี้จริงๆ


    Jean Nouvel


    อาคาร Arab World Institute ในกรุงปารีส ประเทศฝรั่งเศส

    บรรยากาศภายในเมื่อมีแสงลอดผ่านเกิดเป็นลวดลายตามแบบผนังของอาหรับ

    โปรเจคต์ Monolith for Expo.02 (2002) ในประเทศสวิตเซอร์แลนด์

              เจ้าของรางวัล Prtizker Prize ปี 2008 และอีกหลายรางวัลมากมาย ชื่อเสียงของสถาปนิกชาวฝรั่งเศสคนนี้เกิดจากผลงานการออกแบบอาคาร Arab World Institute ในกรุง Paris ทั้งกลไกระบบที่สามารถเปิดปิดผนังกำแพงได้อัตโนมัติ เป็นการควบคุมแสงภายในอาคารขึ้นอยู่ตามสภาพของแสงภายนอก แถมยังเป็นการออกแบบที่รื้อเอาแพทเทิร์นการออกแบบช่องแสงบนกำแพงสไตล์อาหรับแท้ๆมาใช้ในงานได้อย่างชาญฉลาด ไอเดียที่เป็นต้นตำรับและมีการเล่นกับเทคโนโลยีสมัยใหม่ยืนหยัดอยู่ในโลกปัจจุบันนี้ได้นี่ล่ะ ที่ทำให้ Nouvel โดดเด่นใน Scene สถาปัตยกรรมขณะนี้อย่างมาก






    ขอบคุณที่มา : http://www.dooddot.com/essential-architects-that-you-must-know/


    วันพฤหัสบดีที่ 4 มิถุนายน พ.ศ. 2558

    การใช้เทคโนโลยีในชีวิตประจำวัน







    การใช้เทคโนโลยีในชีวิตประจำวัน


       ในยุคนี้คงจะไม่สามารถที่จะปฏิเสธได้เลยว่าเทคโนโลยีไม่มีความจำเป็นสำหรับการดำเนินชีวิตของมนุษย์ เพราะทุกคนล้วนใช้เทคโนโลยีเพื่ออำนวยความสะดวกในชีวิตในทุก ๆ ด้าน ตั้งแต่การตื่นนอนจนถึงการเข้านอน ดังนั้นเทคโนโลยีจึงเป็นสิ่งที่จำเป็นสำหรับมนุษย์ โดยเฉพาะอย่างยิ่งผู้ที่อาศัยอยู่ในเมืองที่ชีวิตประจำวันมีแต่ความเร่งรีบต้องแข่งขันกับเวลา การนำเทคโนโลยีเข้ามาช่วยจึงมีความจำเป็นอย่างยิ่ง เพราะเทคโนโลยีสมัยใหม่นอกจากจะช่วยอำนวยความสะดวกในการทำงานแล้วยังช่วยย่นระยะเวลาทำกิจกรรมต่าง ๆ ให้สั้นลง 

    แต่อย่างไรก็ตาม การนำเอาเทคโนโลยีมาใช้ในชีวิตประจำวันก็เปรียบเสมือนดาบสองคม เพราะในบางครั้งก็นำโทษมาให้แก่มนุษย์ด้วยเช่นกัน ยกตัวอย่างที่สามารถเห็นได้ชัดเจนก็คงจะหนีไม่พ้นเรื่องที่เป็นข่าวตามหน้าหนังสือพิมพ์ในเรื่องของการถูกลวงไปข่มขืน โดยสาเหตุหลัก ๆ ของการถูกล่อลวงไปข่มขืน ก็เป็นผลมาจากการใช้เทคโนโลยีในทางที่ผิดซึ่งส่วนใหญ่ก็มาจากการพูดคุยกันผ่านทางโปรแกรมการสนทนาออนไลน์(Chat) ที่เมื่อมีการพูดคุยกันก็มีการนัดมาเจอกันและเกิดเหตุการณ์การล่อลวงไปข่มขืน เพราะการพูดคุยผ่านการChat นี้เป็นการพูดคุยที่อิสรเสรี ผู้พูดสามารถที่จะพูดคุยอะไรออกไปก็ได้ไม่ว่าจะเป็นความจริงหรือไม่ก็ตาม และนอกจากนี้ก็ยังมีการนำเสนอเวปไซด์ที่เป็นเวปไซด์โป๊ หรือมีการนำเสนอสิ่งที่อนาจารลงในเวปไซด์ และทำให้เป็นการยั่วยุทางอารมณ์ของผู้เล่นจนนำมาสู่การกระทำอันผิดศีลธรรม และเกิดคดีความได้ และจากการที่สื่ออินเตอร์เน็ตเป็นสื่อเสรีไม่มีองค์กรใด ๆ เข้ามาควบคุมดูและจึงทำให้อินเตอร์เน็ตกลายเป็นช่องทางหนึ่งในการติดต่อสื่อสารกันระหว่างกลุ่มคนที่ไม่หวังดี เช่น กลุ่มก่อการร้าย หรือ กลุ่มคนที่ต้องการก่ออาชญากรรม โดยกลุ่มคนเหล่านี้ก็จะใช้อินเตอร์เน็ตเป็นช่องทางหลักในการติดต่อสื่อสารระหว่างกัน โดยอาจมีเวปไซด์เป็นกลุ่มของตนเอง หรือใช้การส่ง E-mail เป็นทอด ๆ ระหว่างกันและมีการแปลรหัสจากการส่ง E-mail โดยไม่มีใครสามารถที่จะล่วงรู้ได้ และในบางครั้งก็มีคนที่มีความสามารถในการใช้คอมพิวเตอร์และอินเตอร์เน็ตเป็นอย่างดี คนเหล่านี้ก็นำความเก่งกาจของตนเองมาใช้ในทางที่ผิด เช่น การลักลอบขโมยข้อมูลในองค์กรต่าง ๆ เพื่อนำมาใช้ก่ออาชญากรรม เช่น ลักลอบค้นข้อมูลของบริษัทบัตรเครดิต หรือ ธนาคาร หรือข้อมูลบัชญีเงินฝากและATM เพื่อลักลอบนำเงินไปใช้ นอกจากนี้บางครั้งก็มีการใช้อินเตอร์เน็ตเพื่อปล่อยหรือสร้างข่าวที่มีความบิดเบือน เพื่อให้เกิดความเข้าใจผิดและสร้างความหวาดกลัวให้กับประชาชน เช่น ในบางครั้งกลุ่มก่อการร้าย ก็อาจใช้สื่ออินเตอร์เน็ตเพื่อสร้างข่าวบิดเบือน เพื่อจูงใจประชาชนให้มาเข้าร่วมในขบวนการและร่วมเป็นส่วนหนึ่งในการก่อการร้าย
                นอกจากนี้จากการที่มนุษย์เราพึ่งพาเทคโนโลยีมากจนเกินไป ก็ทำให้เกิดผลเสียแก่ตัวเราได้ด้วยเช่นกัน เพราะการพึ่งพาเทคโนโลยีมากเกินไปจะทำให้คนเราเกิดความเคยชินจากการนำเทคโนโลยีมาใช้อำนวยความสะดวกในชีวิต จนทำให้บางครั้งเราก็ทำอะไรไม่เป็นไม่สามารถคิดอะไรได้เพราะมีเทคโนโลยีมาช่วย และอาจส่งผลให้ในอนาคตมนุษย์จะมีความสามารถลดน้อยลง และเทคโนโลยีหรือเครื่องจักรต่าง ๆ ก็จะมีความสำคัญมากกว่ามนุษย์
    จากที่กล่าวมาจะเห็นได้ว่าเทคโนโลยีมีทั้งประโยชน์และโทษ ดังนั้นการใช้เทคโนโลยีที่ถูกวิธีจึงเป็นสิ่งที่สำคัญ และต้องไม่ใช้เทคโนโลยีในทางที่ผิดที่จะส่งผลให้เกิดความเสียหายต่อทั้งตนเองและผู้อื่น และในขณะเดียวกันมนุษย์เราก็จะต้องหันกลับมาพึ่งพาตัวเองบ้าง และใช้เทคโนโลยีเฉพาะเท่าที่จำเป็นเท่านั้น และในบางครั้งผู้ใหญ่หรือผู้ปกครองก็ต้องเข้ามาดูแลเด็ก และให้คำแนะนำแก่เด็กด้วยเพื่อไม่ให้เด็กเหล่านี้เข้าไปเสพย์สื่อที่ผิดเบือนและผิดศีลธรรม


    ที่มา : https://poppygis.wordpress.com/2012/08/16/การใช้เทคโนโลยีในชีวิต/